สงครามโลกครั้งที่ 3

สงครามแย่งชิงอำนาจ

 ดินแดนที่เกิดความขัดแย้งกันอยู่นั้นเป็นบ่อน้ำมันใหญ่ของโลกที่ในอดีตชาติมหาอำนาจต่างหวังครอบครองน้ำมันในบริเวณนี้กันทั้งนั้น อันที่จริงความขัดแย้งที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้อาจมองย้อนกลับไปได้ไกลถึง 100 กว่าปี ในประวัติศาสตร์อิหร่านสมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้เห็นชนวนความขัดแย้ง ที่กลายเป็นรอยร้าวลึกระหว่างอิหร่านกับมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐ  ว่าแท้จริงแล้วทำไมถึงไม่ลงรอยกัน และทำไมอิหร่านถึงพยายามต่อต้านมหาอำนาจอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา

ประวัติ

หรือหายนะครั้งใหญ่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” กำลังจะเกิดขึ้น ท่ามกลางความกังวลของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย จากจุดเริ่มที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งกองทัพสหรัฐฯ สังหารนายพลคาเซม โซไลมานี่ ผู้ทรงอิทธิพลอันดับสองของอิหร่าน สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้นำอิหร่าน และเหล่าประชาชนในกรุงเตหะราน ประกาศชัดจะล้างแค้นตอบโต้เอาคืน พร้อมกับยุติการปฏิบัติตามข้อจำกัดในข้อตกลงนิวเคลียร์ทั้งหมดที่มีไว้กับชาติตะวันตก

ม้ขณะนี้ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นหรือไม่ จากการบานปลายลุกลามของสงครามในภูมิภาคตะวันออกกลาง หรือสงครามอ่าวเปอร์เซีย แต่กระแสความสนใจของคนในสังคมได้พุ่งเป้าไปยังหนังสือ “สงครามโลกครั้งที่ 3” เขียนโดยสัมฤทธิ์ ทองอินทร์ ซึ่งตีพิมพ์เมื่อ 3 ปีก่อน เพราะเนื้อหาบอกค่อนข้างชัดเจนว่า โลกจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แน่อน จากชนวนความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ปฏิวัติอิสลาม ค.ศ. 1979

การปฏิวัติอิสลามหรือการปฏิวัติอิหร่านเป็นเหตุการณ์การโค่นราชวงศ์ปาห์ลาวีภายใต้พระเจ้าชาห์ มูฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐและแทนที่ด้วยสาธารณรัฐอิสลามภายใต้ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี ผู้นำการปฏิวัติ ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การฝ่ายซ้าย และอิสลามหลายแห่ง และขบวนการนักศึกษาอิหร่าน ซึ่งเริ่มการเดินขบวนต่อต้านชาห์ในเดือนตุลาคม 1977

ต่อมาพัฒนาเป็นการรณรงค์ดื้อแพ่ง ซึ่งมีทั้งภาคฆราวาส และศาสนา เหตุการณ์บานปลายในเดือนมกราคม 1978 ระหว่างเดือนสิงหาคม และธันวาคม 1978 มีการนัดหยุดงาน และการเดินขบวนทำให้ประเทศเป็นอัมพาต

ส่งผลให้ชาห์เสด็จออกนอกประเทศอิหร่าน เพื่อลี้ภัย เมื่อวันที่ 16 มกราคม 1979 นับเป็นพระมหากษัตริย์เปอร์เซียพระองค์สุดท้าย เปิดทางให้ รัฐบาลเชิญ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี กลับประเทศอิหร่าน และกลับสู่กรุงเตหะราน มีชาวอิหร่านหลายล้านคนรอต้อนรับ และขึ้นสู่อำนาจอย่างเป็นทางการ

อิหร่านออกเสียงลงประชามติทั่วประเทศให้เป็นสาธารณรัฐอิสลามเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1979 และรับรองรัฐธรรมนูญเทวาธิปไตย-สาธารณรัฐนิยมฉบับใหม่ โดยมีโคมัยนีกลายเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ ในเดือนธันวาคม 1979

กล่าวง่ายๆ คือ ปลดคนของสหรัฐแล้วเอาคนอิหร่านขึ้นมาแทน มีนักวิชาการมองว่าการปฏิวัติอิสลามนี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องการใช้ต่อกรกับสหรัฐ

มาถึงตรงนี้ ถามว่าทำไมต้องมองย้อนกลับไปไกลถึงเมื่อ 100 กว่าปีก่อนด้วย

เมื่อมองย้อนเข้าไปในประวัติศาสตร์อิหร่านสมัยใหม่ ประเด็นการต่อต้านขัดขืนชาติมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐอย่างที่เป็นเช่นทุกวันนี้ เราจะเห็นสายธารความคิดที่ดำเนินเรื่อยมากว่า 112 ปี (จาก 1908 ถึง 2020) ทำให้เห็นว่า มันคือการต่อต้านขัดขืนชาติมหาอำนาจที่หวังจะเข้ามาตักตวงผลประโยชน์

ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องอาณานิคมที่เราเข้าใจกัน ที่ชาติมหาอำนาจเข้าไปตักตวงผลประโยชน์โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติทั้งใต้ดินหรือบนดิน จากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทำให้ต้องเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่กระทบต่อผลประโยชน์ของตน!!

เมื่อร้อยปีก่อนเป็นเช่นไร ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น

เพียงแต่เปลี่ยนตัวแสดงตามกาลเวลา และเพิ่มตัวละครอิสราเอล เพิ่มเรื่องนิกายศาสนา แต่ไม่ว่าจะมีปฏิวัติอิสลามหรือไม่ จะมีอิสราเอลหรือไม่ ชาติมหาอำนาจต้องการครอบงำอิหร่าน เป็นเช่นนี้นับตั้งแต่ค้นพบน้ำมันแล้ว!

Design a site like this with WordPress.com
Get started